ใครที่เคยใช้เครื่อง OTDR ยิงทดสอบสายไฟเบอร์ จะเห็นว่าเครื่อง OTDR จะแสดง trace ออกมา และระบุตำแหน่งของค่า loss ต่างๆที่เกิดขึ้นในสายไฟเบอร์  ค่า loss ที่แสดงในสาย จะมีอยู่ 2 รูปแบบหลักๆ ได้แก่

1). Reflective events

                         ค่า loss ชนิดนี้ เกิดจากพวก connector หรือเกิดจากสายไฟเบอร์แตกหักภายใน

 

2). Non-reflective events

      ค่า loss ชนิดนี้ เกิดได้จากการเชื่อมสายไฟเบอร์ (splice) หรือ เกิดจากสายโค้งงอเกินไป (macro bend)

          ในการอ่านผลการทดสอบจาก OTDR trace จะแยกความแตกต่างระหว่าง splice loss และ macro bend ค่อนข้างยาก เพราะค่า loss ทั้งสองเป็นลักษณะ non-reflective event เหมือนกัน

          วิธีในการแยกว่าเป็น splice loss หรือ macro bend สามารถทำได้ด้วยการทดสอบโดยใช้ OTDR อย่างน้อย 2 ความยาวคลื่น (wavelength)  โดยปกติ OTDR จะสามารถเลือกความยาวคลื่นแสงที่จะใช้ในการทดสอบ ตัวอย่างเช่น 1310nm และ 1550nm ยิงเข้าไปในสายไฟเบอร์ จากนั้น OTDR trace จะแสดงผลมาทั้งสองความยาวคลื่นเปรียบเทียบกัน  ในกรณีเป็น macro bend ค่า loss ของ 1550nm จะมากกว่าค่า loss ของ 1310nm

          ในกรณีสายไฟเบอร์ที่ไม่ได้มีการใช้งาน จะสามารถใช้ OTDR ความยาวคลื่น 1310nm และ 1550nm ในการทดสอบหา macro bend ได้ แต่โดยปกติผู้ดูแลระบบมักจะพบเจอปัญหาในสายไฟเบอร์ตอนที่ใช้งานไปแล้ว เพราะสามารถอ่านค่ากำลังงานแสง TX/RX ได้จากอุปกรณ์ ดังนั้นเครื่อง OTDR ที่มีความยาวคลื่น 1650nm จึงเป็นที่นิยมมากขึ้น เพราะสามารถทดสอบในสายไฟเบอร์ที่มีการใช้งานอยู่ได้ แต่ก็พบปัญหาว่า OTDR 1650nm ไม่สามารถแยก macro bend ได้เพราะทดสอบได้เพียงความยาวคลื่นเดียว

           ทาง VeEX เล็งเห็นถึง pain point ตรงจุดนี้ จึงได้ออก OTDR รุ่นที่มี 2 ความยาวคลื่น 1350nm และ 1650nm ออกมา เพื่อให้สามารถทดสอบ macro bend ในสายไฟเบอร์ที่มีการใช้งานอยู่

       แล้วทำไมถึงใช้ความยาวคลื่น 1350nm ล่ะ?  ความยาวคลื่น 1350nm เป็นความยาวคลื่นที่ไม่ทับซ้อนกับระบบ , BiDi, GPON, XGPON และ DWDM จึงสามารถใช้งานร่วมกับทุกระบบได้อย่างไม่มีปัญหา